นำหุ้นอินเดียมีแนวโน้มที่จะได้รับกำไรอย่างแข็งแกร่ง หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้สัญญาณถึงการลดอัตราดอกเบี้ยที่เป็นไปได้สามครั้งในปี 2024 ตามการตัดสินใจรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในวันพุธ โดยดัชนี Sensex และ Nifty แสดงความยืดหยุ่นท่ามกลางความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญในตลาดโลก
ตลาดอินเดียกำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนตอบสนองต่อสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นในปี 2024 ดัชนี Sensex และ Nifty ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดหลักสองตัวของอินเดีย ปิดวันพุธที่ผ่านมาแทบไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม รูปียังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง ปิดที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 83.4 รูปีต่อดอลลาร์
ตามข้อมูลชั่วคราวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติ นักลงทุนสถาบันต่างชาติ (FIIs) เป็นผู้ซื้อสุทธิ โดยซื้อหุ้นมูลค่า 4,710.86 โคร์ ในทางตรงกันข้าม นักลงทุนสถาบันในประเทศ (DIIs) ขายหุ้นมูลค่า 958.49 โคร์ ความแตกต่างนี้เน้นย้ำถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจคาดการณ์แนวโน้มเชิงบวกในตลาดอินเดียเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง
เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ได้ปรับแนวทางนโยบายการเงินไปในทิศทางผ่อนคลายมากขึ้น ส่งสัญญาณถึงการสิ้นสุดวงจรการ收紧 นโยบายการเงิน เนื่องจากมีสัญญาณของการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประธานธนาคารกลาง เจอโรม พาวเวลล์ ประกาศว่า คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยโดยเฉลี่ยจะลดลงเหลือ 4.6% ภายในสิ้นปี 2024 ซึ่งบ่งชี้ว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ครั้งละ 25 จุดฐาน ตลอดทั้งปี
การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นผลบวกแล้ว โดยหุ้นสหรัฐปิดสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในวันพุธ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการตัดสินใจของเฟด ดัชนีดาวโจนส์อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 1.4% เพื่อทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ทั้งแนสแด็กคอมโพสิตและเอสแอนด์พี 500 มีกำไรในระดับใกล้เคียงกัน ซึ่งถือเป็นระดับปิดที่ดีที่สุดในเกือบสองปีที่ผ่านมา
นอกเหนือจากการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นแล้ว ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ มีบทบาทสำคัญในการกำหนดภูมิทัศน์การลงทุน:
อัตราเงินเฟ้อข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมแสดงให้เห็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 3.4 ในเดือนเมษายน ซึ่งบ่งชี้ถึงการผ่อนคลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป พาวเวลล์คาดว่าจะมีการอภิปรายอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป เนื่องจากคาดว่าเงินเฟ้อจะยังคงลดลงต่อไป
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ความตึงเครียดที่ยังคงดำเนินอยู่ในตะวันออกกลางและเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น การโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันในทะเลแดงเมื่อไม่นานมานี้ ได้ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของอุปทาน ซึ่งอาจทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอีกและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ผลตอบแทนจากหนี้และพลวัตของสกุลเงินหลังจากท่าทีที่ผ่อนคลายของเฟด ดอลลาร์อ่อนค่าลงถึงระดับต่ำสุดในสี่เดือน ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอ้างอิงลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ 4 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในความรู้สึกของนักลงทุน
นักลงทุนกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวเหล่านี้อย่างใกล้ชิด โดยหลายคนแสดงความมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับศักยภาพของแนวโน้มขาขึ้นที่อาจจะยังคงมีอยู่ในตลาดอินเดีย เมื่อสภาพการเงินคลายตัวและต้นทุนการกู้ยืมอาจลดลง ทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศอาจพบโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดเกิดใหม่อีกครั้ง
แม้จะมีความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจทั่วโลกและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่ การคาดการณ์ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างการปรับนโยบายการเงินของสหรัฐฯ และผลการดำเนินงานของหุ้นในอินเดีย นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหากเฟดสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้สำเร็จโดยไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อขึ้นอีก อาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นักวิเคราะห์ตลาดเน้นย้ำถึงความสำคัญของการติดตามข้อมูลการประชุมของเฟดซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำ ดังที่พาวเวลล์กล่าว ธนาคารกลางจะยังคงประเมินข้อมูลที่เข้ามาก่อนที่จะดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยใดๆ การยอมรับของพาวเวลล์ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยอาจกลายเป็น "หัวข้อการหารือ" ในที่ประชุมครั้งต่อไป สะท้อนถึงความเห็นพ้องที่เพิ่มขึ้นว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินอาจเป็นแนวทางที่เหมาะสมในอนาคต
โดยสรุปแล้ว ศักยภาพในการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้จุดประกายความหวังใหม่ในตลาดระหว่างประเทศ รวมถึงอินเดีย ดัชนี Sensex และ Nifty มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นนักลงทุนที่คาดการณ์ถึงภาวะการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ในขณะที่ตลาดโลกยังคงตอบสนองต่อการพัฒนาการเหล่านี้ การวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องและกลยุทธ์การลงทุนที่มีข้อมูลจะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการกับความซับซ้อนของภูมิทัศน์ทางการเงินในปี 2024
ในขณะที่เราก้าวไปข้างหน้า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียควรตระหนักว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องติดตามทั้งการเคลื่อนไหวภายในประเทศและระดับโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งที่มา: